1688 สื่อสังคมออนไลน์มีช่องทางการสื่อสารมากมายให้นักการตลาดได้นำไปใช้ในการวางแผนเพื่อเข้าถึงลูกค้าได้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่
สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับช่องทางการสื่อสาร ไม่จำเป็นต้องใช้ทุกช่องทาง แต่ควรเลือกช่องทางให้เหมาะสมกับธุรกิจมากที่สุดเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีและมีประสิทธิภาพตรงตามเป้าหมาย
ทั้งนี้ Kig Logistics มีวิธีการเลือกใช้ช่องทางการสื่อสารที่สามารถสอดคล้องกับธุรกิจของคุณและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายของคุณมากที่สุดมาฝาก ก่อนอื่น เรามาทำความรู้จักกับ 3 ประเภทของช่องทางการสื่อสารในยุคนี้กันก่อน เพราะแต่ละช่องทาง ต่างมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันและมีเอกลักษณ์เฉพาะ ดังนี้
การสื่อสารส่วนบุคคล
เป็นการสื่อสารโดยตรงไปยังผู้บริโภค หรืออาจจะเรียกว่าเป็นการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ผลิตกับผู้ซื้อเท่านั้น การสื่อสารประเภทนี้ ค่อนข้างได้ผลดีตรงที่ ผู้ผลิตจะมั่นใจได้ว่าสารที่นำเสนอไปนั้น จะไปถึงผู้บริโภคอย่างแน่นอน แต่จะได้รับความสนใจหรือไม่นั้น ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เช่น การส่งข้อความทาง SMS และการส่ง E-mail เป็นต้น
การสื่อสารระหว่างบุคคล
เป็นการสื่อสารจากผู้ผลิตไปยังกลุ่มลูกค้าวงกว้างและจำนวนมาก โดยไม่ได้เจาะจงหรือระบุกลุ่มเป้าหมายเป็นส่วนตัว ส่วนหนึ่งอาจมาจากผู้ผลิตสินค้าไม่มีข้อมูลติดต่อของลูกค้าที่เป็นส่วนตัว หรือลักษณะของสินค้า ไม่ได้จำเพาะกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน โดยช่องทางการสื่อสารประเภทนี้ อาทิ การใช้สื่อวิทยุ โทรทัศน์ เป็นต้น
การสื่อสารแบบเน้นมีส่วนร่วม
คือการสื่อสารไปยังผู้ซื้อในวงกว้างและจำนวนมาก โดยมุ่งเน้นให้เกิดการมีส่วนร่วมกับผู้ซื้อ อาทิ การใช้โซเชียลมีเดีย ประกอบด้วย
1.Social Media
ไม่ว่าจะเป็น Line, Instagram, Facebook, Youtube ช่องทางเหล่านี้เป็นช่องทางการสื่อสารที่คนส่วนใหญ่ใช้ และยังดีต่อการเผยแพร่คอนเทนต์ที่หลากหลาย ทั้งภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว ซึ่งควรเลือกช่องทางไม่เกิน 2 ช่องทาง และหลังจากนั้นจึงค่อย ๆ ขยายไปช่องทางอื่นๆ บางครั้งการพยายามใช้ Social Media หมดทุกตัวก็ไม่ได้เปรียบเสมอไป เพราะ Social Media บางตัวอาจไม่สามารถตอบสนองได้ครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้าได้ ดังนั้น บางครั้งการใช้เพียงเว็บไซต์อย่างเดียวก็อาจเพียงพอแล้ว แต่ควรต้องออกแบบให้ใช้งานง่าย หาข้อมูลสะดวก และอัพเดตข้อมูลเป็นประจำสม่ำเสมอ
นอกจากเป็นการลงทุนที่ไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับสื่อด้านอื่น ยังเข้าถึงกลุ่มคนได้ง่ายและตลอดเวลาอีกด้วย แต่การใช้ Social Network ก็มีทั้งผลดีและผลเสีย ขึ้นอยู่กับการใช้งาน ผู้ประกอบการจึงควรใช้ Social Network อย่างมีหลักการ เพื่อว่าการ Social Network จะส่งผลดีให้บริษัทหรือธุรกิจ มากกว่าจะเป็นการลดทอนภาพลักษณ์
อย่างไรก็ตาม บางครั้งผู้ใช้งานหรือผู้ประกอบการออนไลน์ อาจมองว่าการอัพเดตข้อมูลข่าวสารบน Social Network เป็นประจำ จะช่วยดึงดูดกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ให้เข้ามาเป็นแฟนพันธุ์แท้ แต่การยัดเยียดข้อมูลมากเกินไปก็ไม่ได้ส่งผลดีนัก
2.Search Engine Marketing (SEM)
เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสการค้นหาให้ติดเป็นอันดับต้นๆ ใน Google แต่หากคุณมีงบจำกัด ก็สามารถเลือกทำ SEO/SEM ได้เพื่อแสดงผลการค้นหา ไม่ว่าจะเป็นใน Google, Yahoo หรือตามเว็บ Search Engine อื่นๆ เนื่องจากคนรุ่นใหม่ เมื่อต้องการค้นหาสินค้าที่ต้องการ จะเลือกค้นหาใน Search Engine ก่อนเป็นอันดับแรก เพราะฉะนั้น การทำ SEO/SEM จึงมีส่วนช่วยให้กลุ่มเป้าหมายของคุณ ค้นหาสินค้าและบริการได้ง่ายขึ้น รวมถึงมีโอกาสที่พวกเขาจะคลิกต่อไปยังหน้าเว็บไซต์ของคุณอีกด้วย(1688) ข้อดีของการทำ SEO/SEM คือประหยัด และแสดงผลได้ในระยะยาว
3.Web Marketing (สร้าง Blog หรือทำเว็บไซต์เอง)
เป็นระบบที่สามารถใช้สื่อสารกันระหว่างผู้เขียนและผู้อ่านผ่านระบบ Comment จึงนับว่าเป็นจุดเริ่มที่ทำให้เกิดสังคมออนไลน์ขนาดย่อมได้ การสร้างบล็อกเป็นช่องทางหนึ่งที่ช่วยโปรโมทสินค้าอย่างได้ผลดี หากบทความที่ทำ โดนใจลูกค้าและทำให้เกิดการแชร์ต่อไปในโลกออนไลน์ ธุรกิจของคุณก็จะยิ่งขยายวงกว้างให้คนรู้จักและมีโอกาสที่จะเพิ่มยอดขายให้ดีขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตาม การทำธุรกิจในยุคนี้ ไม่ควรมุ่งเน้นไปที่ช่องทางการสื่อสารใดเพียงช่องทางเดียว แต่ควรเลือกช่องทางมากกว่า 1 และเลือกให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด เพื่อให้การสื่อสารที่ส่งไปนั้น ไม่สูญเปล่าและได้รับผลลัพธ์ที่ตรงตามต้องการ